นายสัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (เอเชีย) (MGC) เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับกลุ่ม ปตท. (ปตท.) เพื่อศึกษาแนวทางการลงทุนด้านไฟฟ้าครบวงจร ธุรกิจยานยนต์ (EV) เพื่อสร้างพลังร่วมกัน พร้อมขับเคลื่อน MGC-ASIA ให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ยาวตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ มั่นใจรายได้ต่อปีโตเกิน 10% ตามเป้า
“เอ็มจีซี-เอเชีย ในฐานะผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างเต็มที่พร้อมแสวงหาโอกาสใหม่ๆ จากความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อขยายระบบนิเวศทางธุรกิจภายใต้ระบบนิเวศเอ็มจีซี-เอเชียให้สมบูรณ์และแข็งแกร่ง” นายสัณหวุธ กล่าว .
สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ปี 2566 มีรายได้รวม 18,449 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% ขณะที่กำไรสุทธิ 228 ล้านบาท ลดลง 24% จากช่วงเดียวกันก่อนหน้า ปี. เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความล่าช้าในการตัดสินใจ ทางบริษัทจึงจัดโปรโมชั่นพิเศษ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2566
นอกจากนี้ยังมีดอกเบี้ยจ่ายครั้งเดียว เนื่องจากมีการปรับโครงสร้างโครงสร้างการเช่าพื้นที่ เพื่อใช้เป็นศูนย์กระจายสินค้ารถยนต์ของบริษัท รวมถึงในปี 2565 บริษัทมีกำไรจากการได้รับสิทธิบริหารจัดการกองรถยนต์ในการประชุม APEC ดังนั้นหากไม่รวมค่าใช้จ่ายและกำไรที่เกิดขึ้นพร้อมกันดังที่กล่าวข้างต้น จะส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 255 ล้านบาท ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่น จากการตั้งโครงสร้างรายได้ที่หลากหลาย ภายใต้โมเดลธุรกิจ Lifestyle Mobility Ecosystem ของ MGC-ASIA ที่มีระบบนิเวศทางธุรกิจที่สมบูรณ์และแข็งแกร่ง สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าได้อย่างครอบคลุม รวมถึงสร้างการเติบโต จากการผสมผสานความร่วมมือภายในองค์กรและพันธมิตรทางธุรกิจ (Synergy) คาดว่าจะเติบโตได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยจะมาจากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1) ธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ที่บริษัทจะเข้าร่วมงาน Motor Expo 2023 ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึง 11 ธันวาคม 2566 ซึ่งคาดว่าจะมียอดจองรถยนต์ภายในงานเป็นจำนวนมาก จากความจำเป็นในการซื้อหรือเปลี่ยนรถยนต์ใหม่ในช่วงเวลานี้ รวมถึงการรับรู้รายได้จากรถยนต์ที่รอการส่งมอบมากกว่า 900 คัน และการส่งมอบเรือยอทช์ Azimut ให้กับลูกค้ามูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้รับสิทธิพิเศษในการนำเข้าและจัดจำหน่ายในประเทศไทย
2) ธุรกิจให้บริการหลังการขายและให้บริการดูแลรักษารถยนต์อิสระ โดยจะเริ่มรับรู้รายได้จากศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) ซึ่งจะสร้างรายได้ประจำให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง บริษัทได้รับสิทธิในการดำเนินงานแต่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย และมีแผนขยายศูนย์บริการอีกแห่งหนึ่งในปี 2567
3) ธุรกิจให้เช่ารถทั้งระยะสั้นและระยะยาวพร้อมคนขับ คาดว่าธุรกิจให้เช่ารถระยะสั้นภายใต้ SIXT Rent a Car จะมีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ โดยบริษัทเตรียมขยายกองรถเช่าในพื้นที่ให้บริการ เพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากนี้บริษัทยังมีปัจจัยการเจริญเติบโตจากธุรกิจร่วมทุนอีก 2 ธุรกิจ ได้แก่ บริษัท ฮาวเดน แม็กซี่ อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจประกันภัยชั้นนำ มีศักยภาพในการเติบโตสูง คาดว่าจะมีรายได้มากกว่า 325 ล้านบาท ในปี 2566 เติบโตมากกว่า 15% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และจะยังคงเติบโตอย่างน้อย 8% ในปี 2567 พร้อมเปิดตัวบริการประกันภัยใหม่ จากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก รวมถึงเน้นการขับเคลื่อนนโยบายตามหลัก ESG ขณะที่อัลฟ่า คัฟเวอร์ สินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อลีสซิ่ง และรีไฟแนนซ์ สำหรับรถยนต์หรูและทางทะเล เจาะกลุ่มลูกค้าพรีเมียม-ลักชัวรี่ มีการขยายพอร์ตสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนรายได้ต่อปีของบริษัท ให้เติบโตเกิน 10% ตามเป้าหมาย
คำแนะนำการอ่านบทความนี้ : บางบทความในเว็บไซต์ ใช้ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ คำศัพท์เฉพาะบางคำอาจจะทำให้ไม่เข้าใจ สามารถเปลี่ยนภาษาเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ หรือปรับเปลี่ยนภาษาในการใช้งานเว็บไซต์ได้ตามที่ถนัด บทความของเรารองรับการใช้งานได้หลากหลายภาษา หากใช้ระบบแปลภาษาที่เว็บไซต์ยังไม่เข้าใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมโดยคลิกลิ้งค์ที่มาของบทความนี้ตามลิ้งค์ที่อยู่ด้านล่างนี้
Source link