![LEO เดินหน้า M&A-JV ตามกลยุทธ์ 365 Degree Collaboration หนุนการเติบโตแบบก้าวกระโดดสู่หุ้นบลูชิป](https://www.ryt9.com/img/files/20230220/iq2ef9905f607ee5e1263b47311e15a177.jpg)
![LEO เดินหน้า M&A-JV ตามกลยุทธ์ 365 Degree Collaboration หนุนการเติบโตแบบก้าวกระโดดสู่หุ้นบลูชิป](https://www.ryt9.com/img/files/20230220/iq2ef9905f607ee5e1263b47311e15a177.jpg)
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปี 56 ตามกลยุทธ์ “365 Degree Collaboration” ตั้งเป้าปีแห่งการเป็นหุ้นบลูชิพสำหรับผู้ให้บริการ . บริการโลจิสติกส์ครบวงจรพร้อมการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน
ตั้งเป้าเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2566 เพิ่มขึ้น 15-20% จากปีก่อน เน้นลงทุนในธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่การขนส่งสินค้าและมีกำไรขั้นต้นมากกว่า 40-45% เช่น Self Storage, Container Depot, Warehouse & Logistics Center และ Cold Chain Logistics โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ซึ่งเมื่อรวมกับรายได้จากบริษัทร่วมทุนใหม่และการขยายตัวของบริษัทเองแล้วจะทำให้รายได้ของธุรกิจที่ไม่ใช่ขนส่งสินค้า ของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
บริษัทยังคงเจรจาซื้อกิจการ (M&A) กับพันธมิตรที่เป็นบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศในหลายประเทศ เช่น กัมพูชา เบลเยียม สิงคโปร์ และจีน คาดว่าจะชัดเจนในไตรมาส 2 และรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 3-4 ปี 2566 ซึ่งโครงการ M&A หลายโครงการจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของทั้งธุรกิจและรายได้แบบทวีคูณ บริษัทตั้งเป้าสร้างรายได้ใหม่จากธุรกิจร่วมทุนใหม่และ M&A ทั้งหมดประมาณ 300-700 ล้านบาท ในอีก 1-3 ปีข้างหน้า
รวมถึงบริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจใหม่ที่เป็น Non Logistics โดยต่อยอดจากธุรกิจกัญชงและกัญชาที่ได้ลงนาม MOU กับวิสาหกิจชุมชนสุขฤทัยและบริษัท แคนบิซ จำกัด เพื่อพัฒนาเป็นธุรกิจใหม่และสร้างรายได้ให้กับบริษัทในอนาคตอันใกล้
รวมถึงพัฒนาธุรกิจเป็นตัวแทนรับซื้อสินค้าจากไทยเพื่อส่งไปยัง E-commerce Platform ของ China Post และ Tengjin ภายใต้ชื่อ Leo Sourcing and Supply Chain Co., Ltd. ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งซื้อทุเรียนและผลไม้ สินค้า. ไม้อื่นเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยบริษัทฯ เชื่อว่าธุรกิจ Non Freight และ Non Logistics ที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในอีก 1-3 ปีข้างหน้า และมีกำไรขั้นต้นที่สูงซึ่งจะสามารถ ทดแทนรายได้จากการขนส่งสินค้าที่เริ่มลดลงตามกระแสอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ในปี 2566 บริษัทพร้อมที่จะพัฒนาและทำตลาดการขนส่งสินค้าทางรถไฟแบบ end-to-end ระหว่างไทยและจีนกับ China Post ซึ่งเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของการรถไฟจีนในตลาดการขนส่ง รถไฟไทย-จีน และบริษัทยังได้จัดตั้งบริษัทใหม่ โดยมี Bao Thai Index Associate Co., Ltd. และ Sri Trang Logistics Co., Ltd. ภายใต้ชื่อ Lan Xang Express Co., Ltd. เพื่อร่วมกันขนส่ง สินค้าทางรถไฟระหว่างจีนไปไทยและไทยไปจีน รวมถึงใช้ไทย เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในการส่งสินค้าไปยังกลุ่มประเทศเอเชียใต้หรือกลุ่มประเทศ Bimstec ที่มีปริมาณสินค้ามากกว่า 100,000 ตันต่อปี
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อลงทุนระบบการขนส่ง Cold Chain ไปยังประเทศจีนทางราง เพื่อรองรับการส่งออกสินค้าผลไม้จากไทยไปจีนทางบกที่มีปริมาณสูงถึง 420,000 ตันต่อปี มูลค่าการส่งออกกว่า 3.3 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ฤดูกาลส่งออกผลไม้ของ LEO ในปีนี้มีความพร้อมมากที่สุด ทั้งด้านเครือข่ายการขนส่งทางรางในประเทศจีน ลาว และไทย ตลอดจนการมีเครือข่ายตัวแทนในแต่ละประเทศ ประสานงานและดูแลงานให้กับลูกค้าของบริษัทด้วยโครงสร้างราคาที่ดีกว่าผู้ประกอบการรายอื่น
นอกจากนี้ LEO ในปี 2566 บริษัทมีแผนร่วมกับพันธมิตรในธุรกิจขนส่งทางบกจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อให้บริการขนส่งในรูปแบบ Green Logistics ที่จะให้บริการขนส่งและกระจายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืน (Sustainability ) โดยใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ลดการใช้พลังงานที่ก่อมลพิษและลดการปล่อยคาร์บอน (Carbon Emission) โดยมีเป้าหมายในการลดโลกร้อนและเปลี่ยนเป็นคาร์บอนเครดิตให้กับลูกค้าที่ใช้บริการของบริษัท
“บริษัทมั่นใจว่าในปี 2566 LEO จะยังคงรักษาการเติบโตของกำไรขั้นต้นและผลประกอบการ เนื่องจากบริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากการขนส่งสินค้าทางรางไปยังประเทศจีนตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 1 ปี 2566 รวมถึงเริ่มรับรู้รายได้ และกำไรจากโครงการร่วมทุนใหม่ที่เป็น Non Freight และ M&A ที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 ซึ่งจะทำให้รายได้ กำไรขั้นต้น และผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง” นายเกตติวิทย์ กล่าว
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ(ส่วนของผู้ถือหุ้น) 304.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 198.8 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในปี 2562 และเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 2560
บริษัทมีรายได้รวม 4,495.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,369.7 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้น 20% เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อน จากความสามารถในการสร้างรายได้และการบริหารเชิงกลยุทธ์ของบริษัทที่มีการปรับแผนการตลาดและการขายให้เหมาะสมกับตลาดและสถานการณ์การแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
“แม้ว่ารายได้รวมในไตรมาส 4/65 จะต่ำกว่าไตรมาส 3/65 เนื่องจากสถานการณ์การขนส่งสินค้าทั่วโลกที่แย่ลง แต่บริษัทยังคงมีความสามารถในการจัดการเชิงกลยุทธ์ และสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับที่ดี โดยล่าสุด อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 26% จากไตรมาส 3 ปี 2565 ที่ 23%
คำแนะนำการอ่านบทความนี้ : บางบทความในเว็บไซต์ ใช้ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ คำศัพท์เฉพาะบางคำอาจจะทำให้ไม่เข้าใจ สามารถเปลี่ยนภาษาเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ หรือปรับเปลี่ยนภาษาในการใช้งานเว็บไซต์ได้ตามที่ถนัด บทความของเรารองรับการใช้งานได้หลากหลายภาษา หากใช้ระบบแปลภาษาที่เว็บไซต์ยังไม่เข้าใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมโดยคลิกลิ้งค์ที่มาของบทความนี้ตามลิ้งค์ที่อยู่ด้านล่างนี้
Source link