GPSC ประกาศผลประกอบการปี 2565 รายได้รวม 123,685 ล้านบาท กำไรสุทธิลดลง 88% จากปัจจัยราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลก ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2565 กำไรสุทธิลดลง 137% เนื่องจาก การบำรุงรักษาลูกค้าอุตสาหกรรม แม้จะมีปัจจัยบวกจากการปรับขึ้นค่า Ft แต่บอร์ดอนุมัติอีก 0.30 บาทต่อหุ้นจากผลงานครึ่งปีหลัง การพัฒนาพลังงานสะอาด ตามกลยุทธ์การเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน 50% บริษัทฯ รู้สึกยินดีที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสมาชิกของ Dow Jones Sustainability Index (DJSI) เป็นปีแรก
นายวรวัจน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 123,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีรายได้รวม มีกำไรสุทธิ 891 ล้านบาท ลดลง 6,428 ล้านบาท หรือ 88% จากปี 2564 เนื่องจากกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ลดลง 8,770 ล้านบาท หลังราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ อัตรากำไรจากการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง ในขณะที่อัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้ทันกับค่าเชื้อเพลิง
อย่างไรก็ตามบริษัทได้รับปัจจัยบวกจากกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) ที่เพิ่มขึ้น 1,200 ล้านบาท จากการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าศรีราชา และบริษัทโกลว์ ไอพีพี ที่ใช้น้ำมันดีเซลแทนก๊าซธรรมชาติ ทำให้ Margin จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ปริมาณการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าศรีราชาเพิ่มขึ้นตามแผนความต้องการไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในขณะเดียวกันส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีก็เพิ่มขึ้น 330 ล้านบาท เนื่องจากมีปริมาณน้ำผลิตไฟฟ้ามากกว่าปี 2564
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2565 มีรายได้รวม 34,839 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่มีผลขาดทุนสุทธิรวม 436 ล้านบาท ลดลง 137% เมื่อเทียบกับกำไรในไตรมาส 4 ปี 2564 และไตรมาส 3 ปี 2565 (QoQ) ลดลง 232% สาเหตุหลักมาจากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้อัตรากำไรจากการขายไฟฟ้าให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมลดลง แม้ว่าในเดือนกันยายนค่าเอฟทีจะเพิ่มขึ้นเป็น 93.43 สตางค์ต่อหน่วย สิ่งนี้ทำให้สามารถชดเชยต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นได้บางส่วน ในไตรมาสนี้ปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง เนื่องจากลูกค้าอุตสาหกรรมหยุดซ่อมบำรุง นอกจากนี้ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีตามฤดูกาล
ด้านผลประกอบการ IPP มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจาก กฟผ. เรียกไฟฟ้าเข้าระบบมากขึ้น ในขณะที่น้ำมันดีเซลใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าแทนก๊าซธรรมชาติ เพิ่มอัตรากำไรจากการขายไฟฟ้าและรับรู้รายได้จากการเคลมประกันโรงไฟฟ้าโกลว์ พลังงาน เฟส 5
ในปี 2565 บริษัทรับรู้มูลค่าการผนึกกำลังกับ GLOW สุทธิหลังหักภาษี 2,740 ล้านบาท จากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการผลิต โดยใช้เครือข่ายพลังงานร่วมกัน การบริหารต้นทุนการผลิต การขยายฐานลูกค้าและการจัดการหุ้นกู้ ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุนได้หลังจากการรวมระบบอย่างต่อเนื่อง
นายวรวัจน์ กล่าวว่า แม้ว่าปี 2565 จะเป็นปีที่บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำระดับโลกในด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน บริษัทจึงได้รับเลือกให้อยู่ใน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) Emerging Markets Index (ดัชนีตลาดเกิดใหม่) อุตสาหกรรมสาธารณูปโภคของโรงไฟฟ้า นี่เป็นปีแรกที่มีคะแนนมิติทางสังคมสูงสุดในกลุ่มสาธารณูปโภคของโรงไฟฟ้าทั่วโลก สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรมด้านพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 50% ในปี 2573
นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสในการร่วมมือกับพันธมิตรในการศึกษาและลงทุนในสาขาที่มีศักยภาพตามยุทธศาสตร์ 4S ประกอบด้วย S1: Strengthen and Expand the Core การเสริมความแข็งแกร่งที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า S2 : Scale-Up Green Energy มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน S3: S-Curve & Batteries การพัฒนานวัตกรรมพลังงานและธุรกิจในอนาคต S4: Shift to Customer-Centric Solutions จัดหาโซลูชั่นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ ทั้งด้านการผลิตไฟฟ้าและสาธารณูปโภค เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ นอกจากนี้ ยังได้กำหนดยุทธศาสตร์หลักในการพัฒนาพลังงานสะอาดเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งได้รับการยอมรับและได้รับรางวัลมากมายทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ
ในปี 2566 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติให้ปรับค่าเอฟที แบ่งเป็น 2 กรณี รอบบิลเดือน ม.ค.-เม.ย. 2566 กรณีผู้ใช้ไฟบ้านพักอาศัย คิดอัตรา 93.43 เท่าเดิม สตางค์ต่อหน่วย ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นคิดหน่วยละ 154.92 สตางค์ เพิ่มขึ้นจากหน่วยละ 61.49 สตางค์ สถานการณ์พลังงานยังมีความผันผวนสูงซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการในทุกๆ ด้าน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับปัจจัยเสี่ยงในด้านต่างๆ
คำแนะนำการอ่านบทความนี้ : บางบทความในเว็บไซต์ ใช้ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ คำศัพท์เฉพาะบางคำอาจจะทำให้ไม่เข้าใจ สามารถเปลี่ยนภาษาเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ หรือปรับเปลี่ยนภาษาในการใช้งานเว็บไซต์ได้ตามที่ถนัด บทความของเรารองรับการใช้งานได้หลากหลายภาษา หากใช้ระบบแปลภาษาที่เว็บไซต์ยังไม่เข้าใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมโดยคลิกลิ้งค์ที่มาของบทความนี้ตามลิ้งค์ที่อยู่ด้านล่างนี้
Source link