นายหญิงยง เจียรวุฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสต์ สปริง (ประเทศไทย) แนะนำกองทุนเปิด TMB India Active Equity (TMBINDAE) ที่เน้นลงทุนในกองทุนหลักเพียงกองทุนเดียว โดยมุ่งให้ผลการดำเนินงานเคลื่อนตัวไปตามกองทุนหลักอย่างกองทุน Goldman Sach India Equity Portfolio ที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทอินเดียคุณภาพที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน กองทุนหลักตั้งเป้าเอาชนะ MSCI India IMI Index ในระยะยาว โดยเน้นเลือกการลงทุนจากล่างขึ้นบนจากทีมงานในท้องถิ่น ทำให้กองทุนนี้มีความโดดเด่นในการหาผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก
“เราเห็นได้ว่าห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกเริ่มเข้าสู่อินเดียมากขึ้น โดยยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Foxxcon, Amazon, Google ประกาศลงทุนในอินเดีย เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านการผลิต สร้างโอกาสการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล หลังจากที่ BJP ของนายกรัฐมนตรี Narendra Modi ชนะการเลือกตั้งระดับรัฐ 3 ครั้งจากทั้งหมด 4 ครั้งในปีนี้ และมีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้งทั่วไป โดยจะเกิดขึ้นในปี 2567 ซึ่งจะส่งผลให้นโยบายภาครัฐต่างๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ผู้ลงทุนไม่ควรพลาดโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียที่ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตของท่าเรือควบคู่ไปกับเศรษฐกิจอินเดียในระยะยาว” นายยิ่งยง กล่าว
ตลาดหุ้นอินเดียถือเป็นตลาดหุ้นที่อยู่นอกสายตาของนักลงทุนในปีนี้ โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสต์สปริง จำกัด เห็นว่าแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียปี 2567 ยังคงมีทิศทางที่ดี หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจชะลอตัวเล็กน้อย GDP ไตรมาสล่าสุดสิ้นสุดเดือนกันยายนยังคงเติบโตสูงถึง 7.64% (ที่มา: Bloomberg ณ วันที่ 15 ธ.ค. 2566) เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ดัชนีการจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม (PMI) ยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ 56 จุด และภาคบริการที่ 56.9 สะท้อนว่าเศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ดี ซึ่งมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ Pro-Growth ที่รัฐบาลได้ดำเนินการเมื่อต้นปี โดยเพิ่มความเข้มงวดในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้เพียงพอ และสนับสนุนการบริโภคด้วยนโยบายการคลัง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของอินเดียลดลงอย่างรวดเร็วสู่เป้าหมายบนของรัฐบาลที่ 6% และยังทำให้ธนาคารกลางคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 6.5% (ที่มา: Bloomberg ณ วันที่ 15 ธ.ค. 2566) อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว และมีโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
ตลาดหุ้นอินเดียยังได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยเพิ่มเติม ได้แก่ การเมืองระหว่างประเทศในจีนและสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มมีสัญญาณที่ร้อนแรงขึ้น สหรัฐอเมริกาเริ่มรักษาเสถียรภาพและใช้โอกาสนี้ขยายอิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย อินเดียถือเป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย นอกจากนี้ยังมีบริษัทเอกชนสหรัฐฯ จำนวนมาก โดยเฉพาะบริษัทในภาคเทคโนโลยีที่ย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังอินเดีย ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจทั้งสอง ในไตรมาสที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้พยายามขยายความร่วมมือด้านการลงทุนกับอินเดียในหลายด้าน และคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 2567 และ 2568 อยู่ที่ 6.4% และ 6.3% ตามลำดับ (ที่มา: Bloomberg ณ วันที่ 15 ธ.ค. 2566)
นอกจากนี้ ณ สิ้นปี กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงแข็งแกร่งโดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศ โดยดัชนี SENSEX ของตลาดหุ้นอินเดียเพิ่มการคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) มากกว่า 14% ในปี 2567 (ที่มา: Bloomberg ณ ปัจจุบัน) 15 ธ.ค.2566) นอกจากนี้ ระดับราคาหุ้นหรือ Valuation ซึ่งวัดจากอัตราส่วนราคาหลักทรัพย์ต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน (P/E Ratio) ยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปี คือ ถือว่าราคาสมเหตุสมผล
คำแนะนำการอ่านบทความนี้ : บางบทความในเว็บไซต์ ใช้ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ คำศัพท์เฉพาะบางคำอาจจะทำให้ไม่เข้าใจ สามารถเปลี่ยนภาษาเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ หรือปรับเปลี่ยนภาษาในการใช้งานเว็บไซต์ได้ตามที่ถนัด บทความของเรารองรับการใช้งานได้หลากหลายภาษา หากใช้ระบบแปลภาษาที่เว็บไซต์ยังไม่เข้าใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมโดยคลิกลิ้งค์ที่มาของบทความนี้ตามลิ้งค์ที่อยู่ด้านล่างนี้
Source link