หน้าแรกTHAI STOCKJMART พิสูจน์ด้วยงบ Q3/66 กลับมาพลิกฟื้น กำไร 293 ลบ. พร้อมปี 67

JMART พิสูจน์ด้วยงบ Q3/66 กลับมาพลิกฟื้น กำไร 293 ลบ. พร้อมปี 67


JMART พิสูจน์ด้วยงบไตรมาส 3/2566 คืนพลิกฟื้น กำไร 293 ลบ. แถลงผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัทย่อยและบริษัทร่วมทุนสดใส หนุนงบ All Time High

JMART พิสูจน์ผลงานงบไตรมาส 3/2566 ทำกำไรได้ 293 ล้านบาท จากบริษัทในกลุ่ม SINGER และ SGC โดยไม่มีการสำรองจำนวนมาก โดยหันมาทำกำไรได้เช่นกัน ขณะเดียวกันธุรกิจบริหารหนี้โดยรวมของ JMT ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 2566 และ 2567 ธุรกิจพัฒนาศูนย์การค้าชุมชนของ JAS Asset มีกำไรแข็งแกร่ง ในขณะที่ Jaymart Mobile กำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ยืนยันว่าปีนี้เราผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และในปี 2024 เราจะทำ All Time High

โดยบริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (JMART) เผยภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2566 พลิกกลับมาทำกำไรได้ตามแผน 293 ล้านบาท หลังไตรมาส 2 ปี 2566 ขาดทุน (611) ล้านบาท และรองรับ 9 เดือนแรกของปีนี้ ขาดทุนสุทธิลดลงเหลือ (613) ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการขาดทุนของบริษัทร่วม บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (SINGER) และบริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (SGC) ที่ได้รับผลกระทบจากเงินสำรองลูกหนี้รวมถึงความพยายามปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม และคาดว่าจะมีทิศทางบวกต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 ทำ New High ของปี และยืนยันเป้าหมายปี 2567 ที่ JMART จะกลับมาทำ All Time High ได้อีกครั้ง

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (JMART) กล่าวว่า เราได้ใช้เวลาพิสูจน์ว่าตั้งแต่ต้นไตรมาส 3 ปี 2566 ผลประกอบการของ SINGER และ SGC ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จุด. ในที่สุดก็มาถึงแล้วและเราเชื่อว่าจะกลับมาสร้างผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปนับจากนี้เป็นต้นไป กำไรกลับมาเป็นบวก แม้ว่าไตรมาสนี้จะไม่เป็นบวกมากนัก แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าเรากำลังบริหารจัดการภายในและเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ปัญหาได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้วโดยตัวขับเคลื่อนหลักคือ JMT และเชื่อว่าจะยังคงดีต่อไปในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 และปีหน้า รวมถึงผลลัพธ์เชิงบวกที่ค่อนข้างชัดเจนจาก JAS ASSET (J) ที่มีกำไรโดดเด่น และการลงทุนที่คุ้มค่าจากสุกี้ตี๋น้อย (TEENOI) ที่สามารถสร้างผลกำไรให้กับ JMART เพิ่มมากขึ้น และยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุกเดือน ไตรมาส 3 ปี 2566 สุกี้ตีน้อยมีกำไรสุทธิ 255 ล้านบาท ขณะที่งวดที่ 9 เดือนมีกำไรสุทธิ 676 ล้านบาท มี 50 สาขา คาดช่วงปลายไฮซีซั่น และได้เปิดเพิ่มขึ้นเป็น 55 สาขา เตรียมเปิด 2 สาขาในโคราช, 1 สาขาในพัทยาเหนือ และ 2 สาขาในสมุทรปราการ โดยเน้นออกไปต่างจังหวัดมากขึ้น รวมถึง Synergy ที่เรากำลังทำอยู่ เริ่มได้รับผลดี

หากมองภาพรวมเรายังคงเชื่อว่าในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 JMT – JAS ASSET (J) – SINGER – SGC – TEENOI – JAYMART MOBILE จะยังคงสร้างผลกำไรเชิงบวก เมื่อพิจารณาไตรมาสที่ 4 ปี 2566 จะดีกว่าไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ในเชิงโครงสร้าง ของกลุ่มเราเน้นการค้าและการเงิน เราเชื่อว่าทั้งสองธุรกิจสามารถเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีได้ เราจะเข้าสู่ Commerce Tech และ FinTech อยากให้ทุกคนติดตามไม่ว่าจะในด้าน CRM การเชื่อมต่อกับลูกค้า หรือการใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมต่อกับ J POINT ตอนนี้เรามีพันธมิตรมากมาย และเรากำลังเพิ่มทรัพยากรอย่างต่อเนื่องผ่านทาง J Ventures เพื่อสร้างรากฐานให้กับเรา มีจุดในรูปแบบดิจิทัล ทำให้เราเพลิดเพลินกับการบริการลูกค้า เพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าและเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้า ฉันเชื่อว่าสิ่งที่เราทำมาหลายปีใน JPOINT และ J Wallet ได้มอบเครื่องมือทางการตลาดที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคตให้กับเรา และสนับสนุนกลุ่ม Jaymart ให้ทำกำไรเป็นบวก และน่าจะทำ New High ในปี 2567 ภายใต้เชิงบวกของ SINGER SGC และสร้างฐานที่แข็งแกร่งในการก้าวไปข้างหน้า ให้ทุกสิ่งที่เราทำมาพิสูจน์มัน และส่งผลดีต่อ Jaymart Group Holdings นอกจากนี้ ปัจจุบันเรามีความแข็งแกร่งทางการเงินด้วย IBD/E เพียง 0.72 เท่า

ขณะที่นายสุทธิรักษ์ ตรีจิรา อาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) (JMT) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 466.3 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 2.4% ทำรายได้รวม 1,307.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.8% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่งวด 9 เดือนปีนี้ มีกำไรสุทธิ 1,470.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.1% มีรายได้ 3,707.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้ทำสัญญากับลูกค้า ดอกเบี้ยรับ – กำไรจากเงินให้สินเชื่อ ซื้อลูกหนี้ และรายได้จากประกันภัยเพิ่มขึ้น กระแสเงินสดสะสมของบริษัทในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 เท่ากับ 1,330 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย และงวด 9 เดือน บริษัทมียอดเงินเก็บหนี้ 4,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และได้ลงทุนในหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในปีนี้จำนวน 6,302 ล้านบาท และมียอดสะสมกว่า 1 แสนล้านบาท บาทเป็นหนี้ด้อยคุณภาพในปีนี้ และมั่นใจเป็นรอบสุดท้ายของไฮซีซั่นในการซื้อหนี้ผู้บริหาร ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการประมูลซื้อหนี้ด้อยคุณภาพกับสถาบันการเงิน ถือเป็นอีกปีที่ JMT รับซื้อหนี้มากที่สุดทำให้ All Time High ส่งผลดีต่อบริษัทในปีนี้และ 2567 อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินสด คอลเลกชันลดลงจากสถานการณ์เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 และเริ่มเห็นสัญญาณเริ่มดีขึ้นแล้วในเดือนกันยายน ตั้งเป้าคืนฟอร์มได้ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้

นายนราธิป วิรุณชัชพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (SINGER) เผยผลการดำเนินงานโดยรวมสำหรับไตรมาส 3 ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 13 ล้านบาท กลับรายการขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2566 จำนวน (2,396) ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวม 675 ล้านบาท ตอกย้ำความมั่นใจ เราไม่มีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก และผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 พร้อมเดินหน้าสร้างฐานการเติบโตใหม่ และสามารถลดค่าใช้จ่ายในการบริหารลงได้ 40% ดีเกินคาด

นายอโณทัย ศรีเทียเพชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (SGC) บริษัทในกลุ่ม SINGER เปิดเผยภาพรวมไตรมาส 3 ปี 2566 ทำกำไร 8.23 ​​ล้านบาท จากรายได้รวม 493.59 ล้านบาท ฟื้นตัวจากขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2566 อยู่ที่ (1,919) ล้านบาท บริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และพิจารณาอย่างรอบคอบถึงการตั้งสำรองสำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพื่อรองรับคุณภาพสินเชื่อ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวเฉพาะส่วน

เพื่อสร้างฐานการเติบโตอย่างมีคุณภาพ บริษัทฯ พิจารณาสินเชื่ออย่างรอบคอบ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2566 สินเชื่อใหม่มีจำนวน 1,376 ล้านบาท โดยยังคงเน้นสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ (C4C) หนุนมูลค่าพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 13,831 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ รถยนต์ (C4C) ภายใต้แบรนด์รถยนต์คิดเป็น 76% ของรายได้ และสินเชื่อเช่าซื้อ (HP) คิดเป็น 20.3% และสินเชื่ออื่น ๆ 3.7% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด

NPLs ยังอยู่ในระดับสูง แต่หากดูพอร์ตสินเชื่อใหม่จะทำได้ดีกับ NPLs ที่ 3-5% จากการควบคุมคุณภาพสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง เราจึงมั่นใจว่าจะสร้างฐานการเติบโตใหม่ มุ่งหน้าสู่ปี 2567 และคืนฟอร์มได้

นายสุพจน์ สิริกุลพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเสท จำกัด (มหาชน) (J) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 129.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 617.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และงวด 9 เดือน ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 134.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัท มีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนและรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากการเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ JAS Green Village บางบัวทอง ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2566

ขณะที่ภาพรวมรายได้รวมเติบโตดี โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากโครงการ JAS Green Village Khubon และ JAS Urban ศรีนครินทร์ รวมถึงรายได้สาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ไฟฟ้าและราคาไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับค่าไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีรายได้เพิ่มขึ้นในโครงการ Senera Senior Wellness จากการส่งมอบพื้นที่ให้กับ Senera ViMUT Health Service ผู้บริหารเผยทิศทางปี 2567 ไฟเขียวพัฒนาโครงการ JAS Green Village 3 จุด รามคำแหง-ประเวศ และขอนแก่น รองรับ รายได้ค่าเช่าโดยรวมเพิ่มขึ้น ในขณะที่โครงการ Senera Senior Wellness มาเสริมทีม รองรับการเจริญเติบโตของงานอย่างต่อเนื่อง



     
คำแนะนำการอ่านบทความนี้ : บางบทความในเว็บไซต์ ใช้ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ คำศัพท์เฉพาะบางคำอาจจะทำให้ไม่เข้าใจ สามารถเปลี่ยนภาษาเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ หรือปรับเปลี่ยนภาษาในการใช้งานเว็บไซต์ได้ตามที่ถนัด บทความของเรารองรับการใช้งานได้หลากหลายภาษา หากใช้ระบบแปลภาษาที่เว็บไซต์ยังไม่เข้าใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมโดยคลิกลิ้งค์ที่มาของบทความนี้ตามลิ้งค์ที่อยู่ด้านล่างนี้

Source link
RELATED ARTICLES
- Advertisment -
Technical Summary Widget Powered by Investing.com

ANALYSIS TODAY

Translate »