© สำนักข่าวรอยเตอร์ รูปถ่าย: คนงานเลือกและบรรจุสินค้าในช่วง Cyber Monday ที่ศูนย์ปฏิบัติตาม Amazon ใน Robbinsville Township ใน New Jersey, US, 28 พฤศจิกายน 2022 REUTERS/Eduardo Munoz/File Photo
2/2
วอชิงตัน (รอยเตอร์) – สินค้าคงคลังของธุรกิจสหรัฐลดลงเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองปีในเดือนมกราคม อาจทำให้การลงทุนในสินค้าคงคลังเป็นปัจจัยฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรก
สินค้าคงเหลือทางธุรกิจลดลง 0.1% กระทรวงพาณิชย์กล่าวเมื่อวันพุธ นั่นคือการลดลงครั้งแรกและยังเป็นการอ่านที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 และตามด้วยการเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนธันวาคม นักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดยรอยเตอร์คาดว่าสินค้าคงคลังซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจะไม่เปลี่ยนแปลง
สินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น 11.1% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนมกราคม การสะสมสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่สี่ ซึ่งส่วนใหญ่สะท้อนถึงการหมักหมมของสินค้าที่ไม่ต้องการ เนื่องจากการเติบโตของการใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัวลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
สินค้าคงคลังค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.2% แทนที่จะเป็น 0.3% ตามที่ประเมินไว้ในรายงานล่วงหน้าที่เผยแพร่เมื่อเดือนที่แล้ว พวกเขาเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนธันวาคม
สินค้าคงคลังยานยนต์เพิ่มขึ้น 0.6% ตามประมาณการในเดือนที่แล้ว พวกเขาเพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนธันวาคม สินค้าคงคลังค้าปลีกไม่รวมรถยนต์ซึ่งนำมาคำนวณ GDP เพิ่มขึ้น 0.1% แทนที่จะเพิ่มขึ้น 0.2% ที่ประมาณการไว้ในเดือนที่แล้ว
สินค้าคงเหลือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของอัตราการเติบโตต่อปีที่ 2.7% ใน GDP ในไตรมาสที่แล้ว นักวิเคราะห์กล่าวว่าการชำระบัญชีสินค้าที่ขายไม่ออกเหล่านี้อาจส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยที่คาดการณ์ไว้ในปีนี้
สินค้าคงคลังภาคค้าส่งลดลง 0.4% ในเดือนมกราคม สต็อกที่ผู้ผลิตไม่เปลี่ยนแปลง
ยอดขายธุรกิจดีดตัวขึ้น 1.5% ในเดือนม.ค. หลังจากลดลง 0.6% ในเดือนธ.ค. ที่อัตราการขายในเดือนมกราคม ธุรกิจจะใช้เวลา 1.34 เดือนในการเคลียร์ชั้นวาง ลดลงจาก 1.36 เดือนในเดือนธันวาคม
คำแนะนำการอ่านบทความนี้ : บางบทความในเว็บไซต์ ใช้ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ คำศัพท์เฉพาะบางคำอาจจะทำให้ไม่เข้าใจ สามารถเปลี่ยนภาษาเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ หรือปรับเปลี่ยนภาษาในการใช้งานเว็บไซต์ได้ตามที่ถนัด บทความของเรารองรับการใช้งานได้หลากหลายภาษา หากใช้ระบบแปลภาษาที่เว็บไซต์ยังไม่เข้าใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมโดยคลิกลิ้งค์ที่มาของบทความนี้ตามลิ้งค์ที่อยู่ด้านล่างนี้
ที่มาบทความนี้