ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เป็นตัวบ่งชี้ที่วัดสุขภาพทางเศรษฐกิจของภาคการผลิต จุดมุ่งหมายของดัชนีคือการให้ข้อมูลเกี่ยวกับเงื่อนไขทางธุรกิจในปัจจุบันให้กับนักวิเคราะห์, ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ, ผู้มีอำนาจตัดสินใจของบริษัท มันถูกสร้างจากห้าตัวชี้วัดหลัก เช่น ระดับสินค้าคงคลัง, การผลิต, การจัดส่งของซัพพลายเออร์, คำสั่งซื้อใหม่ และสภาพแวดล้อมการจ้างงาน
ข้อมูลถูกรวบรวมมาได้อย่างไร?
ผู้ผลิตหลักของ PMI มี 2 ราย พวกเขาเป็นสถาบันการจัดการอุปทานที่ผลิตตัวชี้วัดสำหรับสหรัฐอเมริกาและ Markit Group ซึ่งดำเนินการในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก ดังนั้นพวกเขาจึงทำแบบสำรวจรายเดือนแล้วส่งไปยังฝ่ายจัดซื้อในเกือบ 300 บริษัท ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อจะเป็นผู้ตอบคำถามแต่ละข้อในแบบสำรวจ โดยจะให้การประเมิณในแต่ละข้อตามเกณฑ์เช่น “ปรับปรุง”, “ไม่เปลี่ยนแปลง”, “เสื่อมสภาพ”มีสูตรพิเศษที่กำหนดน้ำหนักให้กับแต่ละหัวข้อแล้ว x 1.0 สำหรับการปรับปรุง, x 0.5 สำหรับการไม่เปลี่ยนแปลง และ x 0 สำหรับการเสื่อมสภาพ สุดท้ายตัวเลขที่สูงกว่า 50.0 จะบ่งชี้ว่าอุตสาหกรรมมีการขยายตัว ส่วนตัวเลขที่ต่ำกว่านี้จะ – มีการหดตัว
ข้อดีและข้อเสียของ PMI
ข้อดี
- ตัวเลขจะออกเป็นรายเดือน และระหว่างเดือนปัจจุบัน (หรือเพียงแค่สองสามวันหลังจากนั้น)
- มันให้การคาดการณ์ที่ดีของข้อมูลในอนาคตเช่น GDP และรายงานภาคการผลิตของหน่วยงานราชการ
- รายงานจะแสดงคะแนนที่เปลี่ยนไปจากข้อมูลครั้งก่อน
- ทุกประเทศจะใช้วิธีการวัดแบบเดียวกันเพื่อให้สามารถทำการเปรียบเทียบข้อมูลกันได้
ข้อเสีย
- มันเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล
- รายงานของภูมิภาคของสหรัฐอเมริกาจะออกมาก่อนใครและอาจมีค่าสหสัมพัทธ์สูงและทำให้การประกาศนี้ไม่ค่อยมีผล
ทำไมมันจึงมีความสำคัญมาก?
บางคนคิดว่าดัชนีนี้ไม่สำคัญนักเพราะเป็นเพียงการสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการ อย่างไรก็ตามมันเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนที่มองหาเบาะแสเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ พวกเขาใช้มาตรการนี้เป็นดัชนีชี้วัดการเติบโตหรือการเติบโตของ GDP สิ่งสำคัญคือธนาคารกลางใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการกำหนดนโยบายการเงินไม่เพียงแต่ข้อมูล PMI ทั้งหมดเท่านั้น แต่ส่วนประกอบแต่ละตัวก็สามารถนำไปใช้ในตลาดต่างๆได้ ตัวอย่างเช่น ในตลาดตราสารหนี้เฝ้าดูการเติบโตของการส่งมอบของผู้ขายและราคาที่จ่าย เพราะตัวเลขสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อได้ดัชนีนี้มีความสำคัญไม่เพียงแต่กับภาคการผลิตเท่านั้นแต่กับเศรษฐกิจทั้งหมดด้วยเนื่องจากภาคการผลิตเป็นส่วนสำคัญของมันดังนั้นหาก PMI ลดลงในประเทศหนึ่ง นักลงทุนอาจพิจารณาลดความเสี่ยงของพวกเขาในตลาดทุนของประเทศนั้น และเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศอื่นๆที่มีค่า PMI ที่สูงขึ้น
ปฏิทินเศรษฐกิจของ PMI
เขตยูโรจะประกาศข้อมูล flash PMI ของภาคการผลิตและบริการประมาณสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนปัจจุบัน ตัวชี้วัดเหล่านี้จะถูกเผยแพร่โดยประเทศฝรั่งเศส, เยอรมนี และสหภาพฯเอง และมักจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสกุลเงินยูโร ต่อมาในวันแรกของเดือนถัดไป Markit จะเผยแพร่ PMI ขั้นสุดท้ายของยุโรป แต่อย่างไรก็ตามในครั้งนี้อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินยูโรกลับไม่ได้รับอิทธิพลในอเมริกา ISM manufacturing PMI ถูกประกาศในวันทำการแรกหลังจากสิ้นเดือน ส่วนภาคบริการ ISM non-manufacturing PMI จะถูกประกาศในวันทำการวันที่สามหลังจากสิ้นเดือนค่า PMI ของเดือนก่อนหน้าของสหราชอาณาจักรฯจะถูกประกาศในวันแรกของแต่ละเดือน พวกมันมักจะมาไล่ๆกัน: ภาการผลิต, ภาคการก่อสร้าง, ภาคการบริการ อุตสาหกรรมบริการมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรฯมากกว่าในเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ในสหราชอาณาจักรฯ ค่า PMI ของภาคบริการจะถือว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าส่วนประเทศจีนมี PMI สองชนิด: Caixin manufacturing PMI และ official manufacturing PMI ซึ่ง Caixin manufacturing PMI จะถูกประหาศในวันทำการแรกหลังจากสิ้นเดือน ส่วนข้อมูล Manufacturing PMI จะปรากฏในวันสุดท้ายของเดือนปัจจุบัน ค่า Official manufacturing PMI มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบมากขึ้นเมื่อมีการประกาศ Caixin Manufacturing PMI ล่วงหน้า เนื่องจากรายงานทั้งสองมีสหสัมพัทธ์ต่อกัน ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเทรดเดอร์ที่ซื้อขายสกุลเงิน CNY เท่านั้นแต่ยังส่งผลกระทบต่อ NZD และ AUD เช่นกัน
สรุป
แม้ว่า PMI เป็นตัวบ่งชี้ที่วัดมาจากการสำรวจ แต่ก็เป็นหนึ่งในดัชนีหลักที่แสดงถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจและช่วยในการคาดการณ์ของผู้ค้าและนักลงทุน ข้อได้เปรียบหลักของดัชนีนี้คือการประกาศจะเร็วกว่าข้อมูลทางการอื่นๆ แถมธุรกิจยังตอบสนองต่อสภาวะตลาดอย่างรวดเร็วและผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของพวกเขาถือข้อมูลล่าสุดและเกี่ยวข้องที่สุดของเศรษฐกิจ