กลุ่มบางจากฯ ครึ่งปีแรก รายได้ 152,852 ล้านบาท EBITDA 192% จากธุรกิจโรงกลั่น-การค้าน้ำมัน-ธุรกิจต้นน้ำที่นอร์เวย์ ได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น ดันกำไรสุทธิส่วน 9,633 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 6.91 บาท
วันที่ 11 สิงหาคม 2565 นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทบางจาก เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ของกลุ่มบางจากฯว่า
บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 152,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA 26,286 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 192%
โดยผลดำเนินงานที่ปรับเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนวิธีบันทึกเงินลงทุนใน OKEA เป็นบริษัทย่อยตั้งแต่ไตรมาส 3/2564 เป็นต้นมา
และส่วนที่เหลือปรับเพิ่มขึ้นจากกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ที่ได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเดินทางฟื้นตัวขึ้น
ขณะที่อุปทานน้ำมันยังมีความตึงตัวจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ และกลุ่มโอเปกพลัสไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในครึ่งแรกของปี 2565 อยู่ที่ 102.17 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 2564 จำนวน 38.55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรือ 61% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้กลุ่มบริษัทมี Inventory Gain 8,451 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานที่ปรับเพิ่มขึ้นที่ได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่ฟื้นตัวจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเดินทางกลับคืนมา
ขณะที่อุปทานน้ำมันยังตึงตัวจากสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ และกลุ่มโอเปกพลัสไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากการที่ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบอ้างอิง (Crack Spread) ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากตามกลไกราคาตลาดซึ่งเพิ่มขึ้นลดลงตามอุปสงค์และอุปทาน
ส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA รวม 11,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 163 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีค่าการกลั่นพื้นฐาน (Operating GRM) ปรับเพิ่มขึ้น และโรงกลั่นบางจากยังคงอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยที่สูงในระดับ 122.3 พันบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 102 ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น
ด้านธุรกิจการค้าน้ำมัน โดย BCPT ปรับตัวดีขึ้นจากกำไรต่อหน่วยของการซื้อขายผลิตภัณฑ์กลุ่มแก๊สโซลีน/แนฟทาปรับสูงขึ้น พร้อมรับรู้กำไรจากการเข้าทำสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า
กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA รวม 2,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 44 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้รับปัจจัยบวกจากปริมาณการจำหน่ายที่ปรับเพิ่มขึ้น จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่คลี่คลายลง ในขณะที่ค่าการตลาดรวมสุทธิต่อหน่วยปรับลดลงเล็กน้อย ภายใต้ภาวะราคาน้ำมันสูง
โดยบริษัทได้มีการจัดทำโครงการ “ลิตรละบาท” มอบคูปองส่วนลดการเติมน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดบนหน้าหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชนอีกทางหนึ่ง พร้อมทั้งมุ่งเน้นที่จะพัฒนาศักยภาพและขยายธุรกิจ Nonoil
รวมถึงเร่งเดินหน้าขยายความร่วมมือกับพันธมิตรด้านธุรกิจร้านอาหารชั้นนำ และร้านอาหารสตรีตฟู้ด เพื่อรองรับวิถีชีวิตยุคใหม่ให้ลูกค้าได้อิ่มอร่อยอย่างสะดวกรวดเร็วและง่ายขึ้น โดยปัจจุบันมีร้านอาหารแบบเครือข่ายเปิดให้บริการเพิ่มเติมในสถานีบริการน้ำมันบางจาก
กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า มี EBITDA รวม 4,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 112 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีการรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้น โดยหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 3 โครงการ ได้แก่
ยาบุกิ กำลังการผลิตตามสัญญา 20 เมกะวัตต์ โคมากาเนะ กำลังการผลิตตามสัญญา 25 เมกะวัตต์ และชิบะ 1 กำลังการผลิตตามสัญญา 20 เมกะวัตต์ อีกทั้งรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท Star Energy Group Holdings Pte. Ltd. (“SEGHPL”) 2,031 ล้านบาท
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มี EBITDA รวม 437 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 39 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่รายได้จากการขายปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากราคาขายไบโอดีเซล (B100) ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันปาล์มดิบ
ในขณะที่กำไรขั้นต้นปรับลดลง โดยหลักมาจากธุรกิจไบโอดีเซลและธุรกิจเอทานอลมีปริมาณการจำหน่ายที่ปรับลดลง อีกทั้งราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตปรับเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน
สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (High Value Products (HVP)) BBGI ได้เข้าลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท ไบโอม จำกัด (“ไบโอม”) ซึ่งเป็นบริษัท Spin Off แห่งแรกของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อต่อยอดมูลค่างานวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) สู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์
โดย BBGI ได้รับสิทธิเป็นรายแรกในการนำผลงานวิจัยของไบโอมมาต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะงานวิจัยผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ใช้เทคโนโลยี Synthetic Biology (ชีววิทยาสังเคราะห์) รวมถึงผลิตภัณฑ์ชีวภาพอื่น ๆ
นอกจากนี้ บริษัท วิน อินกรีเดียนส์ จำกัด (BBGI ถือหุ้น 51%) ได้จัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ บริษัท วิน อินกรีเดียนส์ สิงคโปร์ ไพรเวท ลิมิเต็ด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพและให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและการค้า
กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาธุรกิจใหม่ มี EBITDA รวม 7,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 1,000% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้รับปัจจัยบวกจากราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 192% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หากพิจารณาเฉพาะผลการดำเนินงานของ OKEA ในรอบครึ่งปีที่ผ่านมา พบว่า
EBITDA ปรับเพิ่มขึ้น 288% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าโดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาน้ำมันดิบและก๊าซปรับตัวเพิ่มขึ้นตามภาวะตลาดโลก อีกทั้งปริมาณจำหน่ายปรับเพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากแหล่ง Gjøa และ Yme
นอกจากนี้ OKEA ยังได้ลงนามในสัญญาซื้อแหล่งปิโตรเลียมในทะเลเหนือ 3 แหล่ง จากบริษัท Wintershall Dea Norge AS ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสสุดท้าย และช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมในปี 2565 ของ OKEA อีกประมาณ 5,000-6,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและให้บริการ 83,796 ล้านบาท EBITDA 12,572 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 5,276 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.79 บาท
โดยหลักมาจากกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันได้รับปัจจัยบวกจาก Operating GRM ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวช่วยบรรเทาผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบจากราคาขายก๊าซธรรมชาติไปจำหน่ายในประเทศอังกฤษปรับลดลงอย่างมาก รวมทั้งการอ่อนค่าของสกุลเงินโครนนอร์เวย์ (NOK) เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
นายชัยวัฒน์กล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงครึ่งหลังของปี 2565 คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะปรับลดลง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันได้รับแรงกดดันความกังวลเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะเข้าสู่ภาวะถดถอย จากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างเร็วและธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด
โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดกั้นภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ คาดว่าราคาน้ำมันยังคงได้รับแรงหนุนจากจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ประกอบกับกลุ่มโอเปกพลัสไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงติดตามและประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนธุรกิจให้เหมาะสม บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้เพียงพอกับการดำเนินธุรกิจและแผนการลงทุน โดยบริษัทมีแผนที่จะออกและเสนอขายหุ้นกู้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ เพื่อเตรียมพร้อมรองรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและราคาน้ำมันที่ผันผวน
พร้อมทั้งเร่งการลงทุนเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพื่อขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ สร้างความยั่งยืนให้ทุกภาคส่วน
- ไทยออยล์ ขายหุ้นเพิ่มทุน 239 ล้านหุ้น เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XB 18 ส.ค.
- โอกาสส่งออกไทย หลังจีนแบนสินค้าไต้หวัน 2,000 รายการ
- ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.ค. 65 ดีขึ้นต่อเนื่องเดือนที่ 2 เหตุโควิดผ่อนคลาย
อ่านข่าวต้นฉบับ: กลุ่มบางจากฯ ครึ่งปีรายได้ 152,852 ล้าน EBITDA โต 192% อานิสงส์ราคาน้ำมันโลก
คำแนะนำการอ่านบทความนี้ : บางบทความในเว็บไซต์ ใช้ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ คำศัพท์เฉพาะบางคำอาจจะทำให้ไม่เข้าใจ สามารถเปลี่ยนภาษาเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ หรือปรับเปลี่ยนภาษาในการใช้งานเว็บไซต์ได้ตามที่ถนัด บทความของเรารองรับการใช้งานได้หลากหลายภาษา หากใช้ระบบแปลภาษาที่เว็บไซต์ยังไม่เข้าใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมโดยคลิกลิ้งค์ที่มาของบทความนี้ตามลิ้งค์ที่อยู่ด้านล่างนี้
Source link : ต้นฉบับเนื้อหาข่าวนี้