ขณะที่ไตรมาสที่สามกำลังจะสิ้นสุดลง นักลงทุนกำลังมองไปข้างหน้าถึงฤดูกาลผลประกอบการไตรมาสที่สามที่จะมาถึง ซึ่งจะเริ่มต้นอย่างจริงจังราววันที่ 11 ตุลาคม เมื่อธนาคารใหญ่ๆ เช่น JPMorgan Chase (NYSE:) จะเปิดเผยผลประกอบการ
ตลาดหุ้นโดยรวมในไตรมาสที่ 2 ประสบความสำเร็จ โดยกำไรต่อหุ้นรวมของ S&P 500 เพิ่มขึ้น 12.9% ในไตรมาสนี้ ตามข้อมูลของ Standard & Poor's Global ในจำนวน 11 กลุ่มนั้น 9 กลุ่มมีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อน นำโดยบริการด้านการสื่อสาร เพิ่มขึ้น 27.6% เทคโนโลยีสารสนเทศ เพิ่มขึ้น 20.5% การดูแลสุขภาพ เพิ่มขึ้น 18.4% และการเงิน เพิ่มขึ้น 17% มีเพียงกลุ่มอุตสาหกรรม (-2.6%) วัสดุ (-7.5%) และอสังหาริมทรัพย์ (-10.9%) เท่านั้นที่มีกำไรลดลง
ไตรมาสที่ 2 เป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกันที่มีการเติบโตของรายได้โดยรวม และมีอัตราการเติบโตของรายได้ปีต่อปีสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2021
ไตรมาส 3 จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายได้จะเติบโตในไตรมาสนี้ แต่ไม่ถึงระดับเดียวกับไตรมาส 2 ต่อไปนี้คือ 4 สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3
1. รายได้เติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5
ตามข้อมูลทางการเงินของ FactSet คาดว่าการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของ S&P 500 จะอยู่ที่ 4.6% ในไตรมาสที่ 3 ซึ่งลดลงจากไตรมาสที่ 2 และต่ำกว่าอัตราการเติบโต 7.8% ที่คาดการณ์ไว้ในช่วงต้นไตรมาสที่ 3 นอกจากนี้ยังต่ำกว่าอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 5 ปีที่ 10% และอัตราการเติบโต 10 ปีที่ 8.5% อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นการเติบโตของกำไรเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน
บริษัท 60 แห่งจากทั้งหมด 110 บริษัทในดัชนี S&P 500 ที่ออกแนวทางสำหรับไตรมาสที่ 3 ออกแนวทางสำหรับ EPS ที่เป็นลบ ในขณะที่ 50 แห่งออกแนวทางสำหรับ EPS ที่เป็นบวกในไตรมาสที่ 3 บริษัท 55% ที่ออกแนวทางสำหรับ EPS ที่เป็นลบนั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 58% และค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 62% เล็กน้อย
นอกจากนี้ คาดว่าดัชนี S&P 500 จะรายงานการเติบโตของรายได้ในไตรมาสที่ 4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากการคาดการณ์การเติบโตของรายได้เบื้องต้นที่ 4.9% เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ซึ่งจะเป็นไตรมาสที่ 16 ติดต่อกันที่รายได้ของ S&P 500 เติบโต
2. กลุ่มพลังงานและอุตสาหกรรมลดลง กลุ่มไอที การสื่อสาร และการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น
ในจำนวน 11 ภาคส่วนนั้น คาดว่า 8 ภาคส่วนจะรายงานผลประกอบการเป็นบวกในไตรมาส 3 ในขณะที่ 3 ภาคส่วนจะรายงานผลประกอบการเป็นลบ
ตามข้อมูลของ FactSet กลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วที่สุดในไตรมาสนี้คือเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งคาดว่าจะเติบโต 15.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วในไตรมาสที่ 3 ในกลุ่มนี้ คาดว่ารายได้ของเซมิคอนดักเตอร์จะเพิ่มขึ้น 37% ตามมาด้วยฮาร์ดแวร์เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น 13%
หากพิจารณาตามบริษัทแต่ละแห่ง NVIDIA (NASDAQ:) คาดว่าจะเป็นผู้มีส่วนสนับสนุนการเติบโตของรายได้ในภาคส่วนนี้มากที่สุดในไตรมาสที่ 3 ในความเป็นจริง หากไม่นับรวม NVIDIA อัตราการเติบโตของรายได้โดยประมาณของภาคส่วนไอทีจะลดลงเหลือ 7.9% จากเดิม 15.3%
คาดว่าภาคส่วนการดูแลสุขภาพจะมีรายได้เติบโต 11% ในไตรมาสที่ 3 นำโดยกลุ่มยาที่เพิ่มขึ้น 32% คาดว่า Pfizer (NYSE:), Eli Lilly (NYSE:) และ Moderna (NASDAQ:) จะเป็นหุ้นที่มีส่วนสนับสนุนสูงสุด
นอกจากนี้ กลุ่มบริการสื่อสารคาดว่ารายได้จะเติบโตขึ้น 10.5% ในไตรมาสนี้ โดยนำโดยการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของ Alphabet (NASDAQ:) และ Meta Platforms (NASDAQ:)
ในทางกลับกัน คาดว่ากำไรของภาคพลังงานจะลดลง 17.6% ในไตรมาสนี้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดลง ตามข้อมูลของ FactSet คาดว่ากำไรของภาคอุตสาหกรรมจะลดลง 7.7%
3. การประเมินมูลค่ายังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ย
อัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้า (P/E) ของ S&P 500 สำหรับไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ประมาณ 21.4 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 19.5 และค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 18.0 ตามข้อมูลของ FactSet นอกจากนี้ ยังสูงกว่าค่าที่ 21.0 เล็กน้อยเมื่อสิ้นสุดไตรมาสที่ 2
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน ราคาของดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 4.6% ในขณะที่ประมาณการ EPS ล่วงหน้าเพิ่มขึ้นเพียง 2.8%
กลุ่มไอทีซึ่งมี P/E ล่วงหน้าอยู่ที่ 28.8 ยังคงเป็นกลุ่มที่มีราคาแพงที่สุด และสูงกว่าค่าเฉลี่ย P/E ห้าปีที่ 24.7 และค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 20.9 อย่างมาก รองลงมาคือกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย โดยมี P/E ล่วงหน้าที่ 25.4 ตามมาด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ 22.1 และกลุ่มสินค้าจำเป็นที่ 21.4
หากคุณกำลังมองหาข้อตกลง กลุ่มที่มีราคาถูกที่สุดคือกลุ่มพลังงาน ซึ่งมี P/E ล่วงหน้าที่ 12.6 รองลงมาคือกลุ่มการเงินที่ 16.1 กลุ่มสาธารณูปโภคที่ 18.2 และบริการสื่อสารที่ 18.7
4. ซื้อที่ไหนดีที่สุด
นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทมองว่าบริการด้านการสื่อสารเป็นบวกมากที่สุด โดยพิจารณาจากการประเมินมูลค่าที่ค่อนข้างต่ำ โดยมีอัตราส่วน P/E ล่วงหน้าที่ 18.7 โดยกลุ่มบริการด้านการสื่อสารมีเปอร์เซ็นต์การให้คะแนน “ซื้อ” สูงสุดที่ 64% รองลงมาคือกลุ่มพลังงานที่ 62% และกลุ่มไอทีที่ 61%
นักวิเคราะห์มีมุมมองในแง่ลบน้อยลงเกี่ยวกับกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค สาธารณูปโภค และวัสดุ ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์การซื้อที่ต่ำที่สุดโดยอยู่ที่ 43%, 48% และ 49% ตามข้อมูลของ FactSet
แม้ว่าการเติบโตจะชะลอตัวในไตรมาสที่ 3 แต่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในไตรมาสที่ 4 และต่อๆ ไป นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายได้จะเติบโต 15% ในไตรมาสที่ 4 ตามมาด้วย 14.6% ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 และ 13.7% ในไตรมาสที่ 2 ปี 2568
นอกจากนี้ คาดว่ากำไรของ S&P 500 จะเติบโต 10% สำหรับปีปฏิทิน 2024 และ 15.2% สำหรับปี 2025
คำแนะนำการอ่านบทความนี้ : บางบทความในเว็บไซต์ ใช้ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ คำศัพท์เฉพาะบางคำอาจจะทำให้ไม่เข้าใจ สามารถเปลี่ยนภาษาเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ หรือปรับเปลี่ยนภาษาในการใช้งานเว็บไซต์ได้ตามที่ถนัด บทความของเรารองรับการใช้งานได้หลากหลายภาษา หากใช้ระบบแปลภาษาที่เว็บไซต์ยังไม่เข้าใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมโดยคลิกลิ้งค์ที่มาของบทความนี้ตามลิ้งค์ที่อยู่ด้านล่างนี้
Source link