อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) คำนวณโดยการหารราคาหุ้นของบริษัทต่อหุ้นด้วยกำไรต่อหุ้น (EPS) ทำให้นักลงทุนได้ทราบว่าหุ้นนั้นมีราคาต่ำหรือมีราคาสูงเกินไป อัตราส่วน P/E ที่สูงอาจบ่งชี้ว่านักลงทุนคาดว่ากำไรจะเติบโตในอนาคตเมื่อเทียบกับบริษัทที่มี P/E ต่ำกว่า อัตราส่วน P/E ระบุจำนวนเงินที่นักลงทุนสามารถคาดหวังที่จะลงทุนในบริษัทหนึ่งๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้รับรายได้ของบริษัทนั้นหนึ่งดอลลาร์ แม้ว่าอัตราส่วน P/E จะเป็นการวัดมูลค่าหุ้นที่มีประโยชน์ แต่ก็อาจทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดได้
ประเด็นที่สำคัญ
- อัตราส่วน P/E บ่งชี้ให้นักลงทุนทราบว่าหุ้นของบริษัทมีมูลค่าตามความเป็นจริงหรือไม่
- อัตราส่วน P/E ที่สูงอาจบ่งชี้ว่านักลงทุนคาดหวังผลกำไรที่สูงขึ้นในอนาคต
- อัตราส่วน P/E อาจทำให้เข้าใจผิดได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับข้อมูลในอดีตหรือข้อมูลที่คาดการณ์ไว้ในอนาคต (ซึ่งไม่น่าเชื่อถือ) หรืออาจมีการจัดการข้อมูลทางบัญชี
อัตราส่วนราคาต่อรายได้อาจทำให้นักลงทุนเข้าใจผิด
เหตุผลหนึ่งที่อัตราส่วน P/E ถือเป็นความเข้าใจผิดสำหรับนักลงทุนก็คือมันใช้ข้อมูลในอดีต (เช่นกรณีที่มี P/E ต่อท้าย) และไม่รับประกันว่ารายได้จะยังคงเหมือนเดิม ในทำนองเดียวกัน หากอัตราส่วน P/E ขึ้นอยู่กับรายได้ที่คาดการณ์ไว้ (เช่น ด้วย P/E ล่วงหน้า) ก็ไม่รับประกันว่าการประมาณการจะแม่นยำ นอกจากนี้ เทคนิคการบัญชีสามารถควบคุม (หรือจัดการ) รายงานทางการเงิน
วิธีการบัญชีที่แตกต่างกันหมายความว่า EPS สามารถเบ้ได้ขึ้นอยู่กับวิธีการบัญชี ข้อมูล EPS ที่บิดเบี้ยวทำให้นักลงทุนไม่สามารถประเมินมูลค่าบริษัทเดียวหรือเปรียบเทียบบริษัทต่างๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เนื่องจากไม่สามารถทราบได้ว่ากำลังเปรียบเทียบตัวเลขที่คล้ายคลึงกันหรือไม่
มีหลายวิธีในการคำนวณ EPS
อีกปัญหาหนึ่งคือมีวิธีการคำนวณ EPS มากกว่าหนึ่งวิธี ในการคำนวณอัตราส่วน P/E ราคาหุ้นต่อหุ้นถูกกำหนดโดยตลาด อย่างไรก็ตาม ค่า EPS จะแตกต่างกันไปตามข้อมูลรายได้ที่ใช้ ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าข้อมูลจะมาจากช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการสำหรับปีหน้า นักวิเคราะห์สามารถใช้การประมาณการรายได้เพื่อกำหนดมูลค่าสัมพัทธ์ของบริษัทที่ระดับรายได้ในอนาคต ซึ่งเรียกว่าค่า P/E ล่วงหน้า
การเปรียบเทียบอัตราส่วน P/E ของบริษัทหนึ่งโดยพิจารณาจากรายได้ที่ตามมากับรายรับล่วงหน้าของอีกบริษัทหนึ่งจะสร้างการเปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลกับส้มที่อาจทำให้นักลงทุนเข้าใจผิด ด้วยเหตุผลเหล่านี้ นักลงทุนควรใช้มากกว่าอัตราส่วน P/E ในการประเมินบริษัทหรือเปรียบเทียบบริษัทต่างๆ
อัตราส่วน P/E คำนวณโดยใช้รายได้ต่อหุ้น แต่ EPS สามารถเบ้ได้ขึ้นอยู่กับวิธีการบัญชี ข้อมูล EPS ที่บิดเบี้ยวทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบบริษัทหนึ่งกับอีกบริษัทหนึ่งได้
ข้อจำกัดหลักในการใช้อัตราส่วน P/E จะปรากฏชัดเมื่อนักลงทุนเปรียบเทียบอัตราส่วน P/E ของบริษัทต่างๆ การประเมินมูลค่าและรูปแบบธุรกิจอาจแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละภาคส่วน และเป็นการดีที่สุดที่จะใช้ P/E เป็นเครื่องมือเปรียบเทียบสำหรับหุ้นในภาคส่วนเดียวกันมากกว่าหลายภาคส่วน
ตัวอย่างการเปรียบเทียบอัตราส่วน P/E ระหว่างหุ้น
การดูอัตราส่วน P/E อย่างรวดเร็วสำหรับ Apple (AAPL) และ Amazon (AMZN) แสดงให้เห็นถึงอันตรายของการใช้เฉพาะอัตราส่วน P/E ในการประเมินบริษัท ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2018 Apple ซื้อขายที่ $165.48 โดยมีอัตราส่วน P/E (TTM) ที่ 13.89ในวันเดียวกันนั้น ราคาหุ้นของ Amazon อยู่ที่ $1,591.91 โดยมีอัตราส่วน P/E ที่ 89.19สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่า P/E ของ Amazon สูงกว่า Apple มากคือความพยายามในการขยายธุรกิจอย่างจริงจังในวงกว้างช่วยให้รายได้ถูกระงับและอัตราส่วน P/E สูง
ควรใช้อัตราส่วน P/E กับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ ที่หลากหลายเพื่อวิเคราะห์หุ้น
หากเปรียบเทียบหุ้นทั้งสองนี้โดยพิจารณาจาก P/E เพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถประเมินอย่างสมเหตุสมผลได้ อัตราส่วน P/E ที่ต่ำไม่ได้หมายความว่าหุ้นจะถูกตีราคาต่ำเกินไปโดยอัตโนมัติ ในทำนองเดียวกัน อัตราส่วน P/E ที่สูงไม่ได้หมายความว่าบริษัทมีมูลค่าสูงเกินไปเสมอไป