หน้าแรกTHAI STOCKดาวโจนส์ไหลไม่หยุดร่วงเกือบ 300 จุด กังวลเศรษฐกิจถดถอย

ดาวโจนส์ไหลไม่หยุดร่วงเกือบ 300 จุด กังวลเศรษฐกิจถดถอย


ดัชนีดาวโจนส์ร่วงต่อเนื่อง ล่าสุดร่วงลงเกือบ 300 จุดท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย

เมื่อเวลา 22:59 น. ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 37,402.17 จุด ลดลง 280.84 จุด หรือ 0.75%

ธนาคารโลกออกรายงาน “แนวโน้มเศรษฐกิจโลก” ประจำวันนี้ ระบุว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะขยายตัวเพียง 2.4% ชะลอตัวเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ก่อนที่จะขยายตัว 2.7% ในปีหน้า

ไม่รวมการหดตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2563 เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะต่ำที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลกในปี 2552

เศรษฐกิจโลกคาดว่าจะขยายตัว 2.6% ในปี 2566 และ 3.0% ในปี 2565 หลังจากขยายตัว 6.2% ในปี 2564 ซึ่งเป็นการฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สิ้นสุดลง

ธนาคารโลกเตือนว่าช่วงครึ่งแรกของปี 2020 ซึ่งหมายถึงปี 2020-2024 จะเป็นช่วงครึ่งทศวรรษที่ต่ำที่สุดในรอบ 30 ปี โดยการเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้าจะต่ำกว่าช่วงวิกฤตการเงินโลก ในปี 2551-2552 และในช่วงวิกฤติการเงินในเอเชียในช่วงปลายทศวรรษ 1990 และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในช่วงต้นทศวรรษ 2000 การเติบโตของเศรษฐกิจโลกคาดว่าจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2553 ในช่วงห้าปีนี้ เกือบ 0.75%

การซื้อขายในวอลล์สตรีทยังได้รับแรงกดดันจากการฟื้นตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ดีดตัวขึ้นเหนือ 4% เนื่องจากนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อประจำสัปดาห์นี้ด้วย เพื่อค้นหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้รับแรงหนุนจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงกว่าคาด นี่จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงนานกว่าคาด

อัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐอเมริกา จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินใช้จ่ายน้อยลง ในขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายในการชำระสินเชื่อจำนองก็เพิ่มขึ้น และบริษัทจะต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุนและลดการจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุน

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ จะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งใช้วัดอัตราเงินเฟ้อในการใช้จ่ายของผู้บริโภค สำหรับเดือนธันวาคมวันพฤหัสบดีนี้

การสำรวจของนักวิเคราะห์คาดว่า CPI ทั่วไป ซึ่งรวมถึงหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 3.2% ในเดือนธันวาคมปีต่อปีจาก 3.1% ในเดือนพฤศจิกายน

ในแต่ละเดือน คาดว่าดัชนี CPI ทั่วไปจะเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนธันวาคม จาก 0.1% ในเดือนพฤศจิกายน

ส่วนดัชนี CPI หลัก (Core CPI) ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.8% ในเดือนธันวาคมปีต่อปีจาก 4.0% ในเดือนพฤศจิกายน

ในแต่ละเดือน คาดว่าดัชนี CPI หลักจะเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนธันวาคม จาก 0.3% ในเดือนพฤศจิกายน


     

คำแนะนำการอ่านบทความนี้ : บางบทความในเว็บไซต์ ใช้ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ คำศัพท์เฉพาะบางคำอาจจะทำให้ไม่เข้าใจ สามารถเปลี่ยนภาษาเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ หรือปรับเปลี่ยนภาษาในการใช้งานเว็บไซต์ได้ตามที่ถนัด บทความของเรารองรับการใช้งานได้หลากหลายภาษา หากใช้ระบบแปลภาษาที่เว็บไซต์ยังไม่เข้าใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมโดยคลิกลิ้งค์ที่มาของบทความนี้ตามลิ้งค์ที่อยู่ด้านล่างนี้


Source link

RELATED ARTICLES
- Advertisment -
Technical Summary Widget Powered by Investing.com

ANALYSIS TODAY

Translate »