ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลงมากกว่า 100 จุด ท่ามกลางความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
ณ เวลา 23.35 น. ตามเวลาไทย ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 32,733.79 จุด ลดลง 122.67 จุด หรือ 0.37%
การซื้อขายวันนี้ได้รับแรงกดดัน หลังเผยตัวเลขจ้างงานเอกชนสูงเกินคาด ขณะที่จำนวนเปิดงานลดลงน้อยกว่าคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ตลาดจับตาการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า จำนวนงานเพิ่มขึ้นเพียง 200,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. หลังจากเพิ่มขึ้นเกินคาดเป็น 517,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค.
เจอโรม เพาเวลล์ ประธานเฟดกล่าวสุนทรพจน์รอบครึ่งปีเกี่ยวกับนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจต่อสภาคองเกรสเป็นวันที่สอง หลังจากปราศรัยต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารวุฒิสภาเมื่อวานนี้
นายพาวเวลล์กล่าวย้ำในวันนี้ว่าเฟดยังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับขนาดของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ เฟดจะพิจารณาข้อมูลที่ได้รับเกี่ยวกับตลาดแรงงานและอัตราเงินเฟ้อ
“เรายังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับการประชุมในเดือนมีนาคม และที่สำคัญที่สุดคือ Fed ไม่มีแนวทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า การตัดสินใจของเฟดจะพิจารณาจากการป้อนข้อมูล และแนวโน้มที่เปลี่ยนไป” พาวเวลล์กล่าว
นอกจากนี้ นายพาวเวลล์ระบุว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ.ที่จะประกาศในวันศุกร์เป็นข้อมูลที่สำคัญ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) จะประกาศในสัปดาห์หน้า ก่อนที่เฟดจะประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 21-22 มี.ค.
นายพาวเวลล์กล่าวเมื่อวานนี้ว่าเฟดอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับที่สูงกว่าที่เจ้าหน้าที่เฟดคาดไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง
“ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดแข็งแกร่งเกินคาด สิ่งนี้บ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายของเฟดจะสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และหากข้อมูลทั้งหมดบ่งชี้ว่าเฟดควรเร่งรัดนโยบายการเงินให้เร็วขึ้น เราจะเพิ่มความรวดเร็วในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย”
“แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงหลังจากถึงจุดสูงสุดในปีที่แล้ว แต่กระบวนการทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงสู่เป้าหมาย 2% นั้นยังอีกยาวไกล และมันไม่ราบรื่น” นายพาวเวลล์กล่าว เขาเสริมว่า ภารกิจของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่สิ้นสุด และเฟดจำเป็นต้องเข้มงวดนโยบายการเงินไปอีกระยะหนึ่ง
นักลงทุนคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนนี้ และเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเป็นระดับสูงสุดที่ 5.50-5.75% ในเดือนมิถุนายน และเฟดจะไม่ลดดอกเบี้ยในปีนี้ หลังจากถ้อยแถลงของนายพาวเวลล์เมื่อวานนี้
เครื่องมือ FedWatch ของ CME Group ล่าสุดบ่งชี้ว่านักลงทุน 72.0% ให้น้ำหนักกับการที่เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ช่วง 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 21-22 มีนาคม และ 28.0% ให้น้ำหนักกับเฟด จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ย 0.25%
Steven Blitz หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ TS Lombard กล่าวว่าเฟดจะไม่ยุติวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
“เฟดจะไม่ออกจากวงจรนั้น จนกว่านายเจอโรม พาวเวลล์ จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย และจนกว่าอัตราการว่างงานจะสูงขึ้น ซึ่ง ณ จุดนี้ เฟดจึงจะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย”
“เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยอย่างแน่นอน และเฟดจะคงแรงกดดันไว้จนกว่าอัตราการว่างงานจะแตะระดับ 4.5% เป็นอย่างน้อย และฉันคาดว่าอาจสูงถึง 5.5% ในขณะที่เฟดอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปจนถึง 6.5% ก่อนที่ทุกอย่างจะชะลอตัวลงและสงบลง” Blitz กล่าวกับ CNBC
BlackRock บริษัทบริหารสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของโลก คาดว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 6% หลังจากประธานเฟด Jerome Powell ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอย่างก้าวร้าวมากขึ้น เฟดคาดว่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงสู่เป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ “เราคิดว่ามีโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 6% และคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับนั้นสักระยะหนึ่งเพื่อให้เศรษฐกิจชะลอตัว และทำให้อัตราเงินเฟ้อเข้าใกล้ 2%” Rick Ryder ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ BlackRock กล่าวในรายงาน “เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีเกินคาด เนื่องจากไม่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยเหมือนในทศวรรษที่ผ่านมา และความยืดหยุ่นนั้นทำให้การแก้ปัญหาของเฟดซับซ้อนขึ้น” “เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็เหมือนโพลียูรีเทน ซึ่งเป็นสารที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่มีความทนทานและแข็งแรง” รายงานระบุ
คำแนะนำการอ่านบทความนี้ : บางบทความในเว็บไซต์ ใช้ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ คำศัพท์เฉพาะบางคำอาจจะทำให้ไม่เข้าใจ สามารถเปลี่ยนภาษาเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ หรือปรับเปลี่ยนภาษาในการใช้งานเว็บไซต์ได้ตามที่ถนัด บทความของเรารองรับการใช้งานได้หลากหลายภาษา หากใช้ระบบแปลภาษาที่เว็บไซต์ยังไม่เข้าใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมโดยคลิกลิ้งค์ที่มาของบทความนี้ตามลิ้งค์ที่อยู่ด้านล่างนี้
Source link