ดาวโจนส์ยังคงเพิ่มขึ้น ทะยานขึ้นมากกว่า 300 จุดในวันนี้ หลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อได้ถึงจุดสูงสุดแล้ว และจะเป็นปัจจัยชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการเปิดเผยว่าผู้บริโภคสหรัฐมีความมั่นใจมากกว่าที่คาดไว้
เมื่อเวลา 01:06 น. ตามเวลาท้องถิ่น ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 34,442.33 จุด เพิ่มขึ้น 319.91 จุด หรือ 0.94% ขณะที่ S&P 500 และ Nasdaq เพิ่มขึ้นมากกว่า 1%
กระทรวงพาณิชย์กล่าวว่าดัชนีพาดหัว PCE ซึ่งรวมถึงอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้น 3.8% ในเดือนพฤษภาคมจาก 4.3% ในเดือนเมษายน
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนีพาดหัว PCE เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ค. จาก 0.4% ในเดือนเม.ย.
สำหรับดัชนี PCE หลัก ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน เฟดให้ความสำคัญกับอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก โดยเพิ่มขึ้น 4.6% ในเดือนพฤษภาคมเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 4.7% จาก 4.7% ในเดือนเมษายน
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE หลักเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากที่เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนเมษายน
ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมช่วงราคาสินค้าและบริการที่กว้างกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 64.4 ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน และสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 63.9 จาก 59.2 ในเดือนพฤษภาคม
ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับแรงหนุนจากความกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ และวิกฤตเพดานหนี้ของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเมื่อวานนี้ ประมาณการขั้นสุดท้ายของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สำหรับไตรมาสแรกของปี 2566 แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโต 2.0% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ 1.4% และสูงกว่าการประมาณการครั้งแรกและครั้งที่สอง อยู่ที่ร้อยละ 1.1 และ 1.3 ตามลำดับ ขณะที่ผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกลดลง 26,000 รายสู่ 239,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 265,000 ราย
Apple Inc. มีมูลค่าตลาดมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ในการซื้อขายวันนี้
ณ เวลา 9:01 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก หุ้นของ Apple พุ่งขึ้น 1.53% สู่ระดับ 192.48 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
จากการคำนวณของ CNBC นั้น Apple จำเป็นต้องทะลุราคา 190.73 ดอลลาร์เพื่อให้มีมูลค่าตลาดมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม วันนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Apple มีมูลค่าตลาดมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ Apple เคยเป็นบริษัทจดทะเบียนแห่งแรกในสหรัฐอเมริกาและของโลกที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ในการซื้อขายระหว่างวันที่ 22 มกราคม 2022 แต่ Apple ไม่สามารถรักษาสถิติไว้ได้เมื่อปิดตลาดในวันที่ วันนั้น. พูด
ราคาหุ้นของ Apple พุ่งขึ้นประมาณ 47% ตั้งแต่ต้นปี 2023
ก่อนหน้านี้ Apple ทำสถิติมูลค่าตามราคาตลาดที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในวันที่ 2 สิงหาคม 2018 ก่อนที่จะใช้เวลาสองปีในการแตะมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในวันที่ 19 สิงหาคม 2020
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดทำการสำหรับการซื้อขายในเดือนมิถุนายน รวมถึงสิ้นไตรมาสที่ 2 และครึ่งแรกของปี 2023 ในวันนี้
ข้อมูล ณ ปิดตลาดเมื่อวานนี้ การปรับ Dow Jones, S&P 500 และ Nasdaq สำหรับเดือนมิถุนายน Q2 และ H1 มีดังนี้:-
ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 3.69% ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565
ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 2.55% ในไตรมาสที่สอง ซึ่งเป็นกำไรไตรมาสที่สามติดต่อกัน
ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 2.94% ในช่วงครึ่งปีแรก
ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 5.18% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และปรับเป็นเดือนที่ 4
ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 6.99% ในไตรมาสที่สอง ซึ่งเป็นกำไรไตรมาสที่สามติดต่อกัน
ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 14.51% ในช่วงครึ่งปีแรก ทำสถิติกำไรครึ่งปีแรกที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2561
Nasdaq เพิ่มขึ้น 5.07% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกัน
Nasdaq เพิ่มขึ้น 11.2% ในไตรมาสที่สอง ซึ่งเป็นกำไรไตรมาสที่สองติดต่อกัน
ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้นเกือบ 30% ในช่วงครึ่งแรกของปี ทำสถิติกำไรในครึ่งปีแรกดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 1983
คำแนะนำการอ่านบทความนี้ : บางบทความในเว็บไซต์ ใช้ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ คำศัพท์เฉพาะบางคำอาจจะทำให้ไม่เข้าใจ สามารถเปลี่ยนภาษาเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ หรือปรับเปลี่ยนภาษาในการใช้งานเว็บไซต์ได้ตามที่ถนัด บทความของเรารองรับการใช้งานได้หลากหลายภาษา หากใช้ระบบแปลภาษาที่เว็บไซต์ยังไม่เข้าใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมโดยคลิกลิ้งค์ที่มาของบทความนี้ตามลิ้งค์ที่อยู่ด้านล่างนี้
Source link