จับจังหวะดอกเบี้ยขาขึ้น เปิดทริคเลือกซื้อประกันสะสมทรัพย์-ลงทุน หวังผลตอบแทน
3 มุมมองต่อเทรนด์ดอกเบี้ย
วันที่ 14 กรกฎาคม 2565 นายปาณัท สุทธินนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต(MTL) กล่าวในงานสัมมนา “ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นมีผลกระทบอย่างไรกับธุรกิจประกันชีวิต” ว่า หากพูดถึงเทรนด์อัตราดอกเบี้ยจะขอแยกให้เข้าใจง่าย ๆ โดยแบ่งออกเป็น 3 มุมมองหลัก ๆ ประกอบด้วย
1.มุมมองต่อทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นและมองว่ามีโอกาสจะปรับตัวขึ้นไปอีกในระยะข้างหน้า ซึ่งประเด็นนี้มีปัจจัยสนับสนุนมาจากธนาคารกลางสหรัฐ(FED) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 1.5-1.75% ในการประชุม 15 มิ.ย.
ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดของเฟดในรอบ 28 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2537 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐเดือน มิ.ย.ที่ประกาศออกมาวานนี้ ขยายตัวสูงกว่า 9.1% มากกว่าที่ตลาดคาด จึงมีความเป็นไปได้ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยแรงขึ้นอีกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ดังนั้นหากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ควรจะขึ้นดอกเบี้ยตาม เพราะถ้าไม่ขึ้นดอกเบี้ยสิ่งที่จะกระทบตามมาคือค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ซึ่งล่าสุดอ่อนค่าทะลุ 36.5 บาท อ่อนสุดในรอบ 7 ปี ฉะนั้นถ้าไม่ขึ้นดอกเบี้ยจะไม่ดีต่อเสถียรภาพของเงินบาท รวมถึงค่านำเข้าสินค้าต่าง ๆ เช่น น้ำมัน, ปุ๋ย เป็นต้น และถัดมาอีกเหตุผลหนึ่งคือเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือน มิ.ย.ที่ขยายตัวกว่า 7.1% สูงสุดในรอบ 14 ปี
2.มุมมองต่อทิศทางดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นมามากแล้ว จึงมองว่าไม่น่าจะปรับขึ้นไปกว่านี้แล้ว โดยถ้าพิจารณาเงินเฟ้อพื้นฐานของไทยอยู่แค่ 2.3% เทียบกับสหรัฐอยู่ที่ 6%, ยุโรปอยู่ที่เกือบ 4% เพราะฉะนั้นเงินเฟ้อพื้นฐานของไทยยังต่ำกว่า จึงเป็นเหตุผลว่า กนง.อาจไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วและรุนแรงเหมือนเฟดหรือไม่ ขณะที่ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ซึ่งเหมือนระเบิดเวลา หาก กนง.ขึ้นดอกเบี้ยก็จะเป็นภาระที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) หรือธนาคารพาณิชย์ต้องรับมือ
หรือจะเห็นได้จากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ(Bond Yield) อายุ 10 ปีช่วงเดือน พ.ค.ขึ้นไปแตะกว่า 3% แต่ในเดือน มิ.ย.ก็ปรับตัวลงมาอยู่ประมาณ 2.7-2.8% และ Consensus ของ bloomberg คาดการณ์ไว้บอนด์ยีลด์สหรัฐช่วงระยะสั้น ๆ จะอยู่ประมาณ 3% แต่ในช่วงระยะยาวในปี 2023-2024 บอนด์ยีลด์สหรัฐจะปรับตัวลงมาอยู่แถว ๆ 2.8%
และ 3.มุมมองต่อทิศทางดอกเบี้ยยังมีความไม่แน่นอนว่าจะปรับตัวขึ้นหรือลงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งเหตุผลพิจารณาจากผลโหวต กนง.รอบ 30 มี.ค.คงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% มติ 7:0 แต่รอบล่าสุด 8 มิ.ย.เสียงแตก มติ 4:3 ซึ่งจะรู้ผลรอบการประชุมครั้งหน้าในวันที่ 10 ส.ค.
“สุขภาพ-ลงทุน” แบบประกันไร้เอฟเฟ็กต์ดอกเบี้ย
นายปาณัท กล่าวต่อว่า ทั้งนี้หากมองภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นต่อผลกระทบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ยกตัวอย่างเช่น 1.แบบประกันสะสมทรัพย์ (Endowment) จะได้รับผลกระทบเชิงบวกจากรายได้การลงทุน(investment income) หรือดอกเบี้ยจากการลงทุนที่ได้สูงขึ้น
2.แบบประกันชีวิตตลอดชีพ(Whole Life) ด้วยระยะสัญญาที่ค่อนข้างยาวทำให้มีความอ่อนไหวกับดอกเบี้ย ซึ่งได้รับผลกระทบเชิงบวกไปในทิศทางเดียวกับแบบประกันสะสมทรัพย์
3.แบบประกันชีวิตยูนิเวอร์แซลไลฟ์และอินเด็กช์ลิงค์(Universal Life/ Index Linked) แบบประกันที่ลดการันตีผลตอบแทนลง แต่มีส่วนของเงินปันผล ทำให้ความอ่อนไหวต่อดอกเบี้ยจะน้อยลงมา
4.ประกันชีวิตควบการลงทุน(Unit Linked) และ 5.สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพและโรคร้ายแรง(Health/CI) แทบจะไม่มีผลกระทบต่อดอกเบี้ยเลย เป็นสินค้าที่ค่อนข้าง Neutral
จับจังหวะดอกเบี้ย ซื้อประกันหวัง IRR
นายปาณัท กล่าวต่อว่า ดังนั้นคำแนะนำต่อลูกค้าหรือผู้เอาประกันในการซื้อประกันในสถานการณ์แบบนี้ อาจจะต้องถามคำถามแรกก่อนในฐานะลูกค้ามองเรื่องอะไรเป็นหลัก ถ้ามองเรื่องความคุ้มครองชีวิต(Protection) สามารถซื้อประกันได้เลย เพราะสินค้าความคุ้มครองชีวิตยิ่งซื้อเร็วยิ่งดี แต่ถ้ามองเป็นการลงทุน(Investment) ก็จะกลับมาในแนวคิด 3 มุมมองข้างต้น
หากเรามองเทรนด์ดอกเบี้ยจะขึ้นต่อ คำแนะนำอาจจะรอก่อน และคาดหวังว่าแบบประกันในอนาคตหรือในปีหน้า บริษัทประกันชีวิตจะออกสินค้าที่ให้ IRR สูงขึ้นมา แล้วค่อยไปรอซื้อตอนนั้น (แต่ต้องเน้นย้ำว่าแม้ว่าดอกเบี้ยขึ้นแล้วบริษัทประกันอาจจะไม่ออกสินค้าที่ IRR สูงขึ้นก็ได้)
หรือถ้าเป็นลูกค้าที่มองเทรนด์ดอกเบี้ยพีกแล้ว แนะนำให้ซื้อประกันสะสมทรัพย์ตอนนี้ได้เลย เพราะ IRR ในตลาดสูงอยู่แล้ว และถ้าเป็นไปได้ซื้อสัญญาระยะยาวเพื่อล็อก IRR ไว้
ส่วนถ้าเป็นลูกค้าที่ยังลังเลอยู่ว่าเทรนด์ดอกเบี้ยจะขึ้นหรือลง สิ่งที่แนะนำคือแบ่งเงินบางส่วนซื้อประกันสะสมทรัพย์เอาไว้ก่อน ทำเหมือนลงทุนหุ้นถัวเฉลี่ยหรือ DCA และปีหน้าซื้อเพิ่มอีก แต่ต้องซื้อสัญญาระยะสั้นเพื่อไม่ต้องล็อก IRR ไว้ยาว ๆ เพราะถ้าในอนาคตแบบประกันออกใหม่ IRR ขึ้นก็มีเงินไปซื้อของใหม่ได้ ซึ่งปัจจุบัน IRR ประกันสะสมทรัพย์ในตลาดเฉลี่ยอยู่ 1-2%
3 ความเสี่ยงยกเลิกกรมธรรม์กลางคัน
นายปาณัท กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามเราเริ่มเห็นการเวนคืนกรมธรรม์(Surrender Policy) หรือการที่ผู้เอาประกันภัยขอยกเลิกกรมธรรม์ ในภาวะเศรษฐกิจไม่ดีเพื่อจะได้สภาพคล่องทางการเงินไว้ใช้ ขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นบางช่องทางการขายแนะนำให้ลูกค้าเวนคืนกรมธรรม์เก่าเพื่อไปซื้อกรมธรรม์ใหม่
ทั้งนี้ถ้ามาประเมินการเวนคืนกรมธรรม์จากปัญหาสภาพคล่องก่อน จริง ๆ มีแนวทางอื่นที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเวนคืนกรมธรรม์ของตัวเอง เช่น การกู้เงินสดในกรมธรรม์(Policy Loan) ซึ่งเป็นสิทธิลูกค้าทำได้อยู่แล้ว บริษัทประกันชีวิตจะคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ +2% จากผลตอบแทนหน้ากรมธรรม์
แต่ถ้าเวนคืนกรมธรรม์เก่าเพื่อไปซื้อกรมธรรม์ใหม่ ที่อาจจะมีคนอ้างว่าผลตอบแทนสูงขึ้น เน้นย้ำเรื่องความเสี่ยงให้ลูกค้า 3 เรื่องคือ 1.บางคนซื้อประกันสะสมทรัพย์เพื่อไปลดหย่อนภาษี แต่กฎระเบียบสรรพากร กำหนดให้กรมธรรม์ที่ถือต้องอย่างน้อย 10 ปี ดังนั้นหากลูกค้ายกเลิกกรมธรรม์ก่อนกำหนดอาจจะประเด็นปัญหาด้านภาษีได้
2.ถ้ากรมธรรม์หลักมีสัญญาเพิ่มเติมแนบท้ายอยู่ ไม่ว่าจะสุขภาพหรือโรคร้ายแรง ถ้ายกเลิกความคุุ้มครองส่วนขาดไปด้วย และถ้าจะไปซื้อใหม่อาจจะมีการพิจารณารับประกันใหม่ ซึ่งต้องคำนึงถึงโรคที่เคยเป็นมาก่อนด้วย และ 3.มูลค่าเงินสดที่ได้อาจจะน้อยกว่าเบี้ยประกันที่จ่ายไปในช่วงแรก ทำให้ผลตอบแทนจะได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น
โอกาสธุรกิจ ขายประกันออมสั้น-ลิมิตวอลุ่ม
นายปาณัท กล่าวอีกว่า ในมุมบริษัทประกันชีวิตเราไม่มองกำไรระยะสั้น สิ่งที่สำคัญกว่าคือความมั่นคงในระยะยาว จึงไม่พยายามที่จะขายสินค้าอะไรที่มีความไม่แน่นอนหรือเสี่ยง จึงเห็นบริษัทประกันชีวิตส่วนใหญ่ขายสินค้าที่ไม่กระทบหรืออ่อนไหวต่อดอกเบี้ย ไม่ว่าดอกเบี้ยจะขึ้นเราพยายามทำตัวไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของดอกเบี้ย เช่น ความคุ้มครองชีวิต, ประกันชีวิตควบการลงทุน ประกันสุขภาพ/โรคร้ายแรง และแบบประกันชีวิตยูนิเวอร์แซลไลฟ์และอินเด็กช์ลิงค์ เป็นต้น
แต่ทั้งนี้ก็ต้องบาลานซ์โอกาสของธุรกิจไปด้วยกัน จึงเห็นกลยุทธ์บางบริษัท เช่น อยากได้มาร์เก็ตแชร์ หรือ Top Line จึงอาจจะเห็นการออกขายประกันสะสมทรัพย์ในตลาด แต่จะลิมิตวอลุ่มแค่ 200-500 ล้านบาท ไม่ขายแบบ 3-4 พันล้านบาท และพยายามออกสัญญาระยะสั้นเพื่อจะได้แมชชิ่งกับสินทรัพย์ได้ แต่ IRR อาจจะไม่สูงเหมือน 3-4 ปีที่แล้ว ด้วยปัจจัยของอัตราส่วนความเเพียงพอของเงินกองทุน(CAR) ที่สูงขึ้น จากเกณฑ์ คปภ. 120% เป็น 140% ซึ่งเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมา และผลจากมาตรฐานบัญชีใหม่(IFRS17) ที่จะเริ่มบังคับใช้ในปี 2025
คนขายผันสู่ที่ปรึกษาการเงิน
นายปาณัท กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับคำแนะนำคนขาย เราเห็นแล้วว่าบริษัทประกันชีวิตหันไปขายสินค้าที่ไม่อ่อนไหวต่อดอกเบี้ย ฉะนั้นคนขายต้องเซ็ตความรู้เก่าที่เคยขายประกันสะสมทรัพย์ และหาความรู้ใหม่ ๆ ทางด้านของสุขภาพและโรคร้ายแรงต่าง ๆ รวมถึงประกันชีวิตควบการลงทุนที่ขายได้ต้องอัพความรู้ด้านการลงทุน ซึ่งต้องสอบใบอนุญาต IC License ซึ่งปัจจุบันตัวแทนขายทั้งประเทศ 3.5 แสนคน แต่ตัวแทนระดับ IC License มีแค่ 10,000 คนเท่านั้น ยังมีโอกาสตรงนี้อีกมาก และเห็นการเปลี่ยนจากคนขายเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
อ่านข่าวต้นฉบับ: จับจังหวะดอกเบี้ยขาขึ้น เปิดทริคซื้อประกัน “ออม-ลงทุน” หวังผลตอบแทน
คำแนะนำการอ่านบทความนี้ : บางบทความในเว็บไซต์ ใช้ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ คำศัพท์เฉพาะบางคำอาจจะทำให้ไม่เข้าใจ สามารถเปลี่ยนภาษาเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ หรือปรับเปลี่ยนภาษาในการใช้งานเว็บไซต์ได้ตามที่ถนัด บทความของเรารองรับการใช้งานได้หลากหลายภาษา หากใช้ระบบแปลภาษาที่เว็บไซต์ยังไม่เข้าใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมโดยคลิกลิ้งค์ที่มาของบทความนี้ตามลิ้งค์ที่อยู่ด้านล่างนี้
Source link : ต้นฉบับเนื้อหาข่าวนี้